วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เที่ยวจันทบุรี: ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี
01:40
No comments
เที่ยวจันทบุรี: ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี: ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี ประวัติการก่อสร้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี วันอาทิตย์ที่ 21 เม
...
...
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
คนแห่กินฟรี งาน ‘ของดีเมืองจันท์ วันผลไม้ สีสันตะวันออก’ ทุเรียนหมอนทองถูกชิมไปแล้ว 10 ตัน
21:38
No comments
คนแห่กินฟรี งาน ‘ของดีเมืองจันท์ วันผลไม้ สีสันตะวันออก’ ทุเรียนหมอนทองถูกชิมไปแล้ว 10 ตัน คาดหยุดยาว 3 วันสุดสัปดาห์นี้ นักชิมทะลักกันมาแน่ เตรียมผลไม้ไว้รองรับเพิมอีกวันละ 2 ตัน...
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 58 ที่ลานขนถ่ายสินค้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นสถานที่จัดงาน ‘ของดีเมืองจันท์ วันผลไม้ สีสันตะวันออก’ พบว่า ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ กว่าหมื่นคน แวะเข้ามาเยี่ยมชมร้านค้า บูธนิทรรศการ แผงจำหน่ายผลไม้ของชาวสวน ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นภายในงาน โดยเฉพาะบริเวณที่จัดกิจกรรมทานผลไม้ฟรี ให้นักท่องเที่ยว ได้ลองลิ้มชิมรส สุดยอดผลไม้คุณภาพ เกรดเอที่ขึ้นชื่อของจันทบุรีแบบกินฟรี ไม่มีอั้น มีประชาชนมายืนเข้าคิวเพื่อชิมผลไม้ฟรีจนแน่นขนัด จนเจ้าหน้าที่ ต้องนำผลไม้มาคอยเติม
โดยจุดบริการทานผลไม้ฟรี ภายในงานจะเปิดให้บริการ 2 รอบ ต่อวัน รอบแรกเวลา 11.00-14.00 น. รอบที่ 2 เวลา 17.00-20.00 น. ผลไม้ที่นำมาให้นักท่องเที่ยวกินทั้งสองรอบ ในแต่ละวัน ประกอบด้วย ทุเรียนหมอนทองสุก มังคุด เงาะ สละ ลำไย ที่พร้อมเสิร์ฟไม่อั้นตลอด 3 ชั่วโมงเต็มในแต่ละรอบ ควบคู่กับผลไม้แปรรูป อาทิ ทุเรียนเชื่อม ข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน สละลอยแก้ว ทุเรียนกวน และทุเรียนทอด ที่นำมาทอดกันสดๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นทุกขั้นตอนการแปรรูป
ขอบคุณภาพข่าวไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/501483
วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558
จุดชมวิวพระยืน
จุดชมวิวพระยืน
จุดชมวิวเนินนางพญา
จุดชมวิวเนินนางพญา
จุดชมวิวเนินนางพญาแห่งนี้ เป็นหนึ่งในจุดชมวิวหลายๆ แห่งของเส้นถนน "ชลจันทร์" หรือ "ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต" เป็นจุดชมวิวที่เป็นหน้าผาสูงขึ้นมา โดยวิวรอบๆ สวยงามมากๆ หากเราหันหน้าออกไปทางทะเล ด้านซ้ายมือก็จะเป็นแนวภูเขากับหน้าผา และทางด้านขวาก็จะเป็นเป็นถนนเส้นชลจันทร์ คดเคี้ยวไปตามภูเขา เป็นรูปตัว S ซึ่งทั้ง 2 ฝั่งสวยงามกันคนละแบบ และยิ่งกว่านั้น ช่วงพระอาทติย์ขึ้นและตก นอกจากเป็นสถานที่แห่งความประทับใจในเรื่องของความสวยงามของการชมวิวแล้ว ยังเป็นจุดของเรื่อง "ความรักอีกด้วย" หากสังเกตุดูที่รั่วด้านบน จะมีกุญแจมาล็อคเอาไว้มากมาย เพราะเชื่อว่า เป็นการล็อคความรักไว้กับคู่รัก หากใครได้มาที่จุดชมวิวเนินนางพญาแห่งนี้ อย่าลืมเอากุญแจมาด้วยนะครับ รวมถึงจุดชมวิวแห่งนี้ยังมีคู่แต่งงานนิยมเดินทางมาถ่ายรูปเพื่อเก็บเอาไว้ในความทรงจำอีกด้วย
คุกขี้ไก่
ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ ก่อนถึงท่าเทียบเรือ 1 กิโลเมตร
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112)เมื่อฝรั่งเศสได้เข้ายึดจันทบุรี
ในกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
ระหว่างนั้นกองทหารฝรั่งเศสประมาณ 600 คน แยกกันอยู่สองแห่ง
แห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี บริเวณที่เป็นค่ายทหารในปัจจุบัน
อีกแห่งอยู่ที่ปากน้ำแหลมสิงห์
ฝรั่งเศสได้สร้างคุกขี้ไก่เพื่อใช้กักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส มีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละประมาณ
4.40 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร มีช่องระบายอากาศอยู่สองแถว หลังคาโปร่ง
เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมาก เพราะชั้นบนใช้เป็นที่เลี้ยงไก่
ซึ่งจะถ่ายมูลราดศีรษะนักโทษที่ถูกคุมขังตลอดเวลา
การเดินทาง
คุกขี้ไก่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (จันทบุรี-ตราด) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ก่อนถึงอำเภอแหลมสิงห์ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ
คุกขี้ไก่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (จันทบุรี-ตราด) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ก่อนถึงอำเภอแหลมสิงห์ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ
(ร.ศ. 112) เมื่อฝรั่งเศสได้เข้ายึดจันทบุรี
ในกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
ระหว่างนั้นกองทหารฝรั่งเศสประมาณ 600 คน แยกกันอยู่สองแห่ง
แห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี บริเวณที่เป็นค่ายทหารในปัจจุบัน
อีกแห่งอยู่ที่ปากน้ำแหลมสิงห์
ฝรั่งเศสได้สร้างคุกขี้ไก่เพื่อใช้กักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส
มีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละประมาณ 4.40 เมตร
สูงประมาณ 7 เมตร มีช่องระบายอากาศอยู่สองแถว หลังคาโปร่ง
เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมาก เพราะชั้นบนใช้เป็นที่เลี้ยงไก่
ซึ่งจะถ่ายมูลราดศีรษะนักโทษที่ถูกคุมขังตลอดเวลา ทางเข้าเป็นประตูเตี้ย ๆ
ระดับเอวเท่านั้น ใครจะเข้าไปคงต้องคลานเข้าไป
จากคุกขี้ไก่ประมาณ 3 กิโลเมตร จะมีตึกแดง
ตั้งอยู่บริเวณชายหาดแหลมสิงห์ ใกล้ปากแม่น้ำจันทบุรี ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 30
กม.
เป็นอาคารฝรั่งเศส สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2436 โดยทำลายป้อมพิฆาตข้าศึกลงและก่อสร้างตึกแดงทับไว้
เพื่อใช้เป็นกองรักษาการณ์ และเป็นที่พักนายทหารที่รักษาการณ์ปากน้ำแหลมสิงห์ ตึกแดงเป็นอาคารชั้นเดียว
สร้างด้วยอิฐถือปูน กว้าง 7 เมตร ยาว 32 เมตร
โครงหลังคาเป็นเหล็กรางรถไฟ หลังคากระเบื้องดินเผาสีแดง ประตูเปิดถึงกันหมด
ปัจจุบันประกาศเป็นโบราณสถานของชาติในปี พ.ศ.2528
การเดินทาง คุกขี้ไก่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร
ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 เส้นจันทบุรี-ตราด เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ก่อนถึงอำเภอแหลมสิงห์ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ
ตึกแดง
เป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของจังหวัดจันทบุรีตึกแดง
เป็นอาคารชั้นเดียวก่ออิฐถือปูน กว้าง 7 ม. ยาว 32 ม. ทาสีแดงชาด
ภายในแบ่งเป็น 5 ห้อง มีประตูเปิดถึงกันหมด มีระเบียงสองด้านตามแนวยาวของตัวตึก
สร้างขึ้นในบริเวณที่ตั้งป้อมปืนเก่าแก่และได้รับการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 3
เพื่อรับศึกญวน
ฝรั่งเศสได้รื้อตึกจากตัวป้อมมาสร้างตึกแดงเพื่อใช้เป็นที่พักนายทหารและกองรักษาการณ์ปากน้ำแหลมสิงห์
ตึกแดงได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2527 และใช้เป็นอาคารห้องสมุดและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนของ
อ.แหลมสิงห์ ต่อมาเลิกใช้และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
น้ำตกกระทิง จันทบุรี
น้ำตกกระทิง
น้ำตกกระทิง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาคิชฌกูฏ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มี 13 ชั้น ซึ่งล้วนมีความงามต่างๆ กัน เล่นน้ำได้ แต่ละชั้นห่างกันราว 20 เมตร ในระหว่างทางจะผ่านป่าไผ่และพันธุ์ไม้หลากชนิด บางชั้นมีพืชจำพวกมอส เฟิร์น ขึ้นปกคลุมเต็มทั้งสองข้างทาง ลำธารดูเขียวชอุ่ม เมื่อต้นไม้ผลัดใบใบไม้สีเหลืองแกมแดงจะโรยใบปูทางเดินสวยงามยิ่ง ลำธารชั้นล่างของน้ำตกอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน 100 เมตร การเข้าชมต้องเสียค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท
หลวงพ่อเขียน (เขียน ขันธสโร) หรือ พระครูธรรมสรคุณ
หลวงพ่อเขียน
หลวงพ่อเขียน (เขียน ขันธสโร) หรือ พระครูธรรมสรคุณ เดิมชื่อ “เขียน ทองคำ” เกิดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2473 อุปสมบทวันพุธที่ 16 พ.ค. 2494 ณ วัดกะทิง ได้รับการถวายปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (พธ.ม.) พ.ศ. 2499 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดกะทิง พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เจ้าอาวาสชั้นตรีที่พระครูธรรมสรคุณ พ.ศ. 2528 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นตรี พ.ศ. 2533 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท พ.ศ. 2538 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอมะขามชั้นโท พ.ศ. 2541 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอมะขามชั้นเอก
หลวงพ่อเขียน (เขียน ขันธสโร) หรือ พระครูธรรมสรคุณ เดิมชื่อ “เขียน ทองคำ” เกิดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2473 อุปสมบทวันพุธที่ 16 พ.ค. 2494 ณ วัดกะทิง ได้รับการถวายปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (พธ.ม.) พ.ศ. 2499 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดกะทิง พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เจ้าอาวาสชั้นตรีที่พระครูธรรมสรคุณ พ.ศ. 2528 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นตรี พ.ศ. 2533 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท พ.ศ. 2538 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอมะขามชั้นโท พ.ศ. 2541 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอมะขามชั้นเอก
หลวงพ่อเขียน ท่านมีชื่อและโดดเด่นทางด้านจิตตภาวนา
สามารถเดินเท้าขึ้นเขาคิชฌกูฏได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ
นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้บุกเบิกตำนานการจัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง บนเขาคิชฌกูฏ
ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วง ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3
ถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 4 รวมระยะเวลา 2
เดือน โดยปีนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 24 มกราคม-24
มีนาคมที่ผ่านมา
สำหรับรอยพระพุทธบาทพลวง หรือรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ ถูกค้นพบในราว
พ.ศ. 2397 แต่ผู้ที่มาบุกเบิกเปิดตำนานรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ให้คนรู้จัก
และให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางขึ้นไปกราบไหว้
สักการะในความศักดิ์สิทธิ์ก็คือ“หลวงพ่อเขียน”(ผู้ล่วงลับ) โดยในปี พ.ศ. 2515
หลวงพ่อเขียนได้บุกเบิกทางขึ้น
และนำรถยนต์ขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นยอดเขาให้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น
มาจนถึงปัจจุบัน
รอยพระพุทธบาทพลวงขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีความพิเศษตรงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งปรากฏอยู่บนก้อนหินใหญ่ โดยใกล้กันนั้นมีหินลูกพระบาทหรือหินลูกบาตร ที่เป็นหินก้อนใหญ่มากตั้งตระหง่านอยู่ ลักษณะเหมือนหินเรือใบที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา
สำหรับรอยพระพุทธบาทพลวง หรือรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ ถูกค้นพบในราว พ.ศ. 2397 แต่ผู้ที่มาบุกเบิกเปิดตำนานรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ให้คนรู้จัก และให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางขึ้นไปกราบไหว้ สักการะในความศักดิ์สิทธิ์ก็คือ“หลวงพ่อเขียน”(ผู้ล่วงลับ) โดยในปี พ.ศ. 2515 หลวงพ่อเขียนได้บุกเบิกทางขึ้น และนำรถยนต์ขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นยอดเขาให้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น มาจนถึงปัจจุบัน
รอยพระพุทธบาทพลวงขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีความพิเศษตรงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งปรากฏอยู่บนก้อนหินใหญ่ โดยใกล้กันนั้นมีหินลูกพระบาทหรือหินลูกบาตร ที่เป็นหินก้อนใหญ่มากตั้งตระหง่านอยู่ ลักษณะเหมือนหินเรือใบที่เกาะ
สิมิลัน จ.พังงา
โดยมีความเชื่อว่าผู้ที่เดินขึ้นไปถึงยอดเขาซึ่งมีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่นั้นจะได้บุญสูง ผู้คนจำนวนมหาศาลจึงพากันขึ้นไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาทกันเป็นจำนวนมหาศาลในทุกๆ ปี
นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกับรอยพระพุทธบาทยังมีประติมากรรมหินรูปร่างแปลกตาที่สอดคล้องกับตำนานทางพุทธศาสนา อาทิ หินพระนอน ลานแข่งรถพระอินทร์ ถ้ำฤาษี หินรูปร่างคล้ายเต่าและช้างใหญ่ รวมถึงรอยเท้าพญามารปรากฏให้เห็นด้วย
นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกับรอยพระพุทธบาทยังมีประติมากรรมหินรูปร่างแปลกตาที่สอดคล้องกับตำนานทางพุทธศาสนา อาทิ หินพระนอน ลานแข่งรถพระอินทร์ ถ้ำฤาษี หินรูปร่างคล้ายเต่าและช้างใหญ่ รวมถึงรอยเท้าพญามารปรากฏให้เห็นด้วย
รอยพระพุทธบาทพลวงขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีความพิเศษตรงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งปรากฏอยู่บนก้อนหินใหญ่ โดยใกล้กันนั้นมีหินลูกพระบาทหรือหินลูกบาตร ที่เป็นหินก้อนใหญ่มากตั้งตระหง่านอยู่ ลักษณะเหมือนหินเรือใบที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา
สำหรับรอยพระพุทธบาทพลวง หรือรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ ถูกค้นพบในราว พ.ศ. 2397 แต่ผู้ที่มาบุกเบิกเปิดตำนานรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ให้คนรู้จัก และให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางขึ้นไปกราบไหว้ สักการะในความศักดิ์สิทธิ์ก็คือ“หลวงพ่อเขียน”(ผู้ล่วงลับ) โดยในปี พ.ศ. 2515 หลวงพ่อเขียนได้บุกเบิกทางขึ้น และนำรถยนต์ขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นยอดเขาให้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น มาจนถึงปัจจุบัน
รอยพระพุทธบาทพลวงขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีความพิเศษตรงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งปรากฏอยู่บนก้อนหินใหญ่ โดยใกล้กันนั้นมีหินลูกพระบาทหรือหินลูกบาตร ที่เป็นหินก้อนใหญ่มากตั้งตระหง่านอยู่ ลักษณะเหมือนหินเรือใบที่เกาะ
สิมิลัน จ.พังงา
โดยมีความเชื่อว่าผู้ที่เดินขึ้นไปถึงยอดเขาซึ่งมีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่นั้นจะได้บุญสูง ผู้คนจำนวนมหาศาลจึงพากันขึ้นไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาทกันเป็นจำนวนมหาศาลในทุกๆ ปี
นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกับรอยพระพุทธบาทยังมีประติมากรรมหินรูปร่างแปลกตาที่สอดคล้องกับตำนานทางพุทธศาสนา อาทิ หินพระนอน ลานแข่งรถพระอินทร์ ถ้ำฤาษี หินรูปร่างคล้ายเต่าและช้างใหญ่ รวมถึงรอยเท้าพญามารปรากฏให้เห็นด้วย
นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกับรอยพระพุทธบาทยังมีประติมากรรมหินรูปร่างแปลกตาที่สอดคล้องกับตำนานทางพุทธศาสนา อาทิ หินพระนอน ลานแข่งรถพระอินทร์ ถ้ำฤาษี หินรูปร่างคล้ายเต่าและช้างใหญ่ รวมถึงรอยเท้าพญามารปรากฏให้เห็นด้วย
ชุมชนริมน้ำจันทบูร
จังหวัดจันทบุรีที่คนทั่วไปรู้จักนั้น เป็นเมืองชายทะเล และสวนผลไม้ แท้ที่จริงนั้นจันทบุรีเป็นเมืองเก่าแก่ มีชุมชนเก่า และ สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย เคยเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินใช้รวบรวมกำลังพล กอบกู้กรุงศรีอยุธยา
ชุมชนริมน้ำจันทบูรเป็นชุมชนริมน้ำเก่าแก่กว่า 300 ปี
ประกอบไปด้วยประชากร 3 เชื้อสายได้แก่ ไทย ญวน และ จีน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ชุมชนริมน้ำจันทบูรเริ่มก่อตั้งตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ทรงย้ายเมืองมาจากบ้านหัววัง ต.พุงทลาย (ปัจจุบันเป็น ต.จันทนิมิต จ.จันทบุรี)
มายังเมืองจันทบูร ริมฝั่งแม่น้ำ ชุมชนขยายไปจนถึงย่านท่าสิงห์ ย่านท่าหลวง
เนื่องจากบริเวณนี้อยู่บนเนิน น้ำไม่ท่วม อุดมสมบูรณ์ อยู่ติดแม่น้ำ
สามารถออกสู่ทะเลได้ และยังปลอดภัยจากข้าศึก ศัตรู
ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินก็ใช้เมืองจันทบุรีรวบรวมกำลังพล
กอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากพม่า
เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ช่วงสมัยรัชการที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ย่านท่าหลวง ใกล้กับชุมชนริมน้ำจันทบูร มีความเจริญเป็นอย่างมาก
มีถนนสายแรกตัดผ่าน คือ ถนนสุขาภิบาล ถนนเลียบแม่น้ำจันทบุรี บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขาย
และศูนย์การคมนาคมทั้งทางรถ และ ทางเรือ
ที่ตั้งของชุมชนริมน้ำจันทบูรเริ่มจากถนนท่าหลวงไปทางถนนสุขาภิบาลทั้งเส้น
ริมสองฝั่งแม่น้ำ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร บริเวณนี้มีบ้านเรือนเก่า โบสถ์คริสต์
วัด ศาลเจ้าจีน ตลาดพลอด ร้านขายอาหาร ขนมไทยแบบดั้งเดิม ซึ่งนับวันจะหาชมได้ยาก
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จันทบุรี
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิมล
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิมล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจันทบุรีฝั่งตะวันออก ในตำบลจันทนิมิตอำเภอเมืองจันทบุรี สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์เพื่อเป็นศูนย์กลางของกลุ่มคริสตชนมาเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่งดงามทั้งภายในและภายนอก เป็นที่ท่องเที่ยวเชิดหน้าชูตาอีกแห่งหนึ่งของจันทบุรี
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิมล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจันทบุรีฝั่งตะวันออก ในตำบลจันทนิมิตอำเภอเมืองจันทบุรี สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์เพื่อเป็นศูนย์กลางของกลุ่มคริสตชนมาเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่งดงามทั้งภายในและภายนอก เป็นที่ท่องเที่ยวเชิดหน้าชูตาอีกแห่งหนึ่งของจันทบุรี
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล แห่งนี้
มีหอนาฬฺิกาเรือนใหญ่ขนาดเส้นรอบหน้าปัด 4.7 เมตร ติดอยู่
จากหอสูงนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองจันทบุรี ได้ไกลออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร
อาสนวิหารมีความกว้าง 20 เมตร และยาว 60 เมตร
วัดนี้ได้รับการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกด้วยศิลปะเก่าแก่อย่างสวยงามและมีคุณค่ายิ่งนัก
เช่น ภาพกระจกสีของบรรดานักบุญหลายองค์ที่บริเวณเหนือพระแท่น
และเหนือหน้าต่างของวัด
เมื่อแสงอาทิตสาดส่องมาจากภายนอกจะทำให้มองเห็นความสวยงามของภาพบนกระจกสีได้อย่างชัดเจน
บริเวณเหนือพระแท่นกลางวดมีรูปหั้นพระประธาน คือ รูปพระนางมารีอาปฏิสนธินิมล
ตั้งตระง่านอย่างงดงามรวมถึงรูปปั้นของนักบุญยออากิม และ นักบุญอันนา
ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของพระนาง
วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2255 ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดโบสถ์
อยู่ฝั่งตะวันของแม่น้ำจันทบุรี ต่อมา พ.ศ. 2377 ได้ย้ายมาฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ
และได้สร้างเป็นอาคารถาวรก่อนอิฐถือปูนศิลปะแบบโกธิค โดยเริ่มสร้าง 6 มกราคม พ.ศ. 2499
แล้วเสร็จสมบูรณ์จึงได้มีพิธีเสกอย่างสง่าโดยได้รับเอา
พระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล เป็นองค์อุปถัมภ์ของวันวัด เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2452
และได้สถาปนาขึ้นเป็นอาสนวิหารเมื่อ
พ.ศ. 2487
ประวัติอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จันทบุรี
ชุมชนคาทอลิกจันทบุรี ถือกำเนิดจากกลุ่มคาทอลิกชาวญวน 130 คน
ซึ่งอพยพหนีภัยจากการเบียดเบียนศาสนาในประเทศเวียดนาม มาตั้งภูมิลำเนาที่จันทบุรี
ก่อนปี พ.ศ. 2454 ปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมัยกรุงศรีอยุธยา พระสังฆราชบีออง
เดอ ซีไซ ได้มอบหมายให้บาทหลวงเฮิ้ต เป็นผู้ดูแลคริสตชนนี้
1. วัตถุบริสุทธิ์ ได้แก่ วัตถุดิบที่นำมาสร้างขึ้นเป็นองค์แม่พระ
ประกอบด้วย ทองคำบริสุทธิ์ เงินบริสุทธิ์ และ
พลองบริสุทธิ์
นำมาประกอบเข้าด้วยกันทุกชิ้นส่วนมีความสำคัญและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
2. ใจบริสุทธิ์ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชนบริจาควัตถุดิบที่จะสร้าง
"แม่พระประดับพลอย" เพื่อเทดพระเกียรติให้เหมาะสมกับแม่พระ
ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์และสง่างามให้ผู้พบเห็นได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาและเป็นอนุสรณ์แก่อนุชนรุ่นหลัง
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี
ประวัติการก่อสร้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี
ประวัติการก่อสร้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2534 เวลา 9.19น.ตรงกับวันขึ้น
8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม จ.ศ. 1353 เป็นวันดี
วันอุดมฤกษ์ โดยมีพลเรือเอก ปรีดา กาญจนรัตน์
ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และเรือตรี สุกรี รักษ์ศรีทอง
ผู้ว่าราชการป้องกันชายแดนจันทบุรีเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ร่วมกัน
มีข้าราชการพลเรือ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน
ทุกสาขาอาชีพในจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียงมาร่วมในพิธีมากมาย
ศาลออกแบบและเขียนแบบโดยช่างของกรมศิลปกร เป็นรูปทรงเก้าเหลี่ยม
หลังคาเป็นรูปพระมาลาหรือรูปหมวกยอดแหลม ความสูงจากพื้นระดับถึงยอดหมวก 16.90เมตร
ความกว้างโดยเฉลี่ย 9 เมตร ภายในศาลมีแท่นสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระรูปของพระองค์ท่าน
ยอดบนสุดเป็นฉัตร ทองคำ 9 ชั้น มีบันไดทางขึ้นสามด้าน เป็นสองระดับ
ระดับล่างมีบันไดสามชั้น ระดับบนมีบันได 6 ชั้น รวมเป็น 9 ชั้น
ราวบันไดเป็นรูปพลสิงห์ ลำตัวอ่อนช้อยไปตามชั้นบันได กล่อด้วยโลหะทองเหลืองรมดำ
ดูแล้วน่ายำเกรงเป็นอันมาก รอบนอกศาลบุด้วยหินอ่อน พื้นปูด้วยหินแกรนิต
ด้านในศาลเขียนลายไทยแบบพุ่มข้าวบิณฑ์ ประตูไม้มะค่าแผ่นใหญ่
หน้าต่างไม้มะค่าและไม้สักทอง
ด้านหน้าศาลราวบันไดชั้นล่างมีสิงโตขนาดใหญ่ ข้างละ 1 ตัว นั่งอยู่
และยังมีกระถางธุปสามขนาดใหญ่ตั้งไว้ให้ประชาชนปักธูปบูชา
เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2534 ใช้เวลาในการสร้าง
3 ปีเศษ ได้ประกอบพิธีเปิดศาลและยกฉัตรทองคำ เมื่อวันศุกร์ที่ 21
กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2540 โดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและยกฉัตรทองคำขึ้นสู่ยอดศาล
พิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
คณะกรรมการศาลและชาวจันทบุรีมีความภาคภูมิใจปลื้มใจจนหาที่สุดมิได้
ศาลกลังนี้ใช้เงินในการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 6,675,489.00 บาท
เงินจำนวนดังกล่าวนี้ได้รับแรงศรัทธาบริจาคร่วมในการก่อสร้างจากประชาชนชาวจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง
รวมทั้งพี่น้องชาวไทยทั้งมวลด้วย
วิธีสักการะ
- การไหว้ขอพร
ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม
ไหว้ด้านหน้าของศาล
- วีธีบน
ใช้ธูป 14 ดอก เทียน 2 เล่ม
ไหว้ด้านหน้าของศาล
- ไหว้แก้บน
ธูป 14 ดอก เทียน 2 เล่ม
และแก้บนตามคำกลาว หรือนำอาหารมาถวายท่าน
(นะโม 3 จบ) อาราธนาดวงพระวิญญาณ
โอม สิโน ราชาเทวะ ชะยะตุภะวัง สัพพะศัตรู วินาสสันติ
ถายเครื่องสักการะ
โอม สิโน ราชาเทวะ นะมามิหัง
นอกจากนี้ก็ยังสามารถถวายเครื่องสักการะอื่นๆ
เวลาเดินทางเข้ามาสักการะบูชาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยกตัวอย่างเช่น ดาบ,
สัตว์มงคลเช่น
ม้า ไก่ เป็นต้น ซึ่งสามารถสอบถามทางเจ้าหน้าที่ดูแลศาลได้เลย
เราจะเข้าตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้
เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้วทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือ และต่อยหม้อเสียให้หมด
หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้
ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ก็จะตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว
เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของเจ้าตาก
และเพึ่อรำลึกว่าบรรพบุรุษชาวจันทบุรีจำนวนไม่น้อย
ได้เป็นทหารร่วมไปในกองทัพของเจ้าตาก ทั้งดินแดนเมืองจันทบุรีนี้
เป็นพื้นที่ที่เจ้าตากเคยใช้เป็นที่รวบรวมไพร่พลตลอดจนตระเตรียมกองทัพไปทำการรบได้รับความสำเร็จ
ชาวจันทบุรีพร้อมด้วยผู้ที่มีจิตศรัทธาจึงร่วมแรงกายใจและกำลังทรัพย์
สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้น
สถานที่ที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ฯ แห่งหนึ่งอยู่บนเกาะกลางสวนสาธารณะ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระบรมรูปทรงม้าในท่ากระโจน ชูพระแสงดาบไปข้างหน้า มีทหารเอกขนาบข้างม้า ๔ นาย สถานที่ที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ฯ
อีกแห่งหนึ่งอยู่ในค่ายตากสิน บริเวณหน้ากองบังคับการ กองพันทหารราบที่ ๒
กรมทหารราบที่ ๑ นาวิกโยธิน พระบรมรูปอยู่ในท่าประทับยืนบัญชาการรบ
ลักษณะท่าทางเด็ดเดี่ยวจริงจังเห็นได้จากพระพักตร์เครียด
พระหัตถ์ขวาทรงชูพระแสงดาบไปยังที่หมายของข้าศึก พระพักตร์ทรงหันไปตามพระหัตถ์ซ้าย
แสดงพระอาการรับสั่งกับไพร่พลบริวารให้รับรู้ว่าต้องพร้อมที่จะปฎิบัติอย่างรีบเร่งรุดหน้าตามพระองค์บุกเข้าหาข้าศึก
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนี้ เป็นที่สักการบูชาของชาวจันทบุรี
เหล่าทหารและบุคคลทั่วไป